สำหรับมือใหม่หลายๆ ท่านคงมีคำถามว่า การกักโรคปลาคราฟ คืออะไร แล้วควรต้องกักตัวปลาคราฟเมื่อไร หรือมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง วันนี้ไป่โค่ยฟาร์มนำข้อมูลพร้อมเคล็ดลับขั้นตอนการกักโรคปลาให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ทั้งในแง่ของการรักษาปลาคราฟที่ป่วย หรือ กักโรคสำหรับปลาคราฟใหม่ที่ได้มาเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเดิมใบบ่อติดโรคด้วย ลองอ่านข้อมูลตามขั้นตอนด้านล่างได้เลยครับ
การกักโรคปลาคราฟ คืออะไร
การกักโรคปลาคราฟ ก็คือการแยกปลาคราฟออกจากปลาคราฟตัวอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการรักษา หรือ คัดแยกปลาที่พึ่งได้มาใหม่ก่อน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส แบคทีเรีย และปรสิตต่างๆ ไม่ให้แพร่กระจายไปยังตัวอื่นๆ ที่อาจะเป็นสาเหตุให้ปลาเสียชีวิตได้

การกักโรคปลาคาร์ฟ ทำเพื่ออะไร
เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าปลาที่เราพึ่งซื้อมา ไม่มีเชื้อโรคแบคทีเลีย เชื้อรา หรือ ปรสิต ที่อาจส่งผลเสียให้กับทั้งบ่อของเรา นี้แหละครับ กากกักโรคปลาคาร์ฟจึงเสมือนเป็นด่านกักกันโรคที่ช่วยเช็ค และเตรียมความพร้อมของปลาคาร์ฟตัวใหม่ ก่อนที่เราจะเอาลงบ่อไปรวมกับตัวอื่นๆ เพื่อป้องกัน โรคที่มากับ แบคทีเลีย, เชื้อรา หรือ แม้แต่ ปรสิตชนิดต่างๆ ครับ
การกักโรคปลาคาร์ฟ มีกี่วิธี
จริงๆแล้วคงต้องเล่าก่อนว่า แต่ละฟาร์ม แต่ละที่ มีขั้นตอน และวิธีการกักโรคปลาคาร์ฟเฉพาะของแต่ละที่ ซึ่งอาจจะมาจากทั้งหลักการ หรือประสบการณ์ตรงที่ใช้มา ทำให้ต้องบอกก่อนวิธีการกักโรคปลาคราฟของแต่ละที่ อาจจะแตกต่างกันออกไปได้ครับ หลักๆที่มือใหม่ควรรู้ก่อนคือ เราจะใช้อะไรในการกักโรคปลาคาร์ฟบ้าง สาร หรือยาตัวไหนที่เราใส่ไปในบ่อปลาคราฟบ้าง เผื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้กับปลาที่รักของคุณครับ สำหรับผู้ที่เลี้ยงปลาคาร์ฟมาสักพัก อาจจะคุ้นเคยกับ สูตร 1-4-7 หรือก็คือ วันที่ๆ เราควรใส่ยา หรือ เว้นพักให้ปลาให้ฟื้นจากโรคต่างๆ หรือปริมาณยาที่เราให้ปลาไปนั่นเองครับ
วิธีกักโรคปลาแนะนำ “ สูตรกักโรคปลา 1-4-7 ”
สำหรับวิธีนี้เป็นวิธีที่มือใหม่ควรเริ่มศึกษาและนำไปใช้เป็นอันดับแรกๆเลยครับ เนื่องมาจากเป็นวิธีการกักโรคปลาคาร์ฟ ที่ได้ผลดีที่สุดของชาวปลาคาร์ฟรุ่นเก๋าบอกต่อๆกันมา เพราะวิธีนี้มีช่วงให้ยา และมีช่วงวันที่เว้นให้ปลาให้ฟื้นตัว รวมถึงให้ยาออกฤทธิ์ของมันอย่างดีที่สุดวิธีนึงเลยครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้อง ใส่ใจ และคำนวนปริมาณยา กับปลาที่เรากักไว้ด้วยนะครับ
ขั้นตอนการกักโรคปลาคาร์ฟ แบบ 1-4-7 คือ หลังได้ปลามาใหม่
วันที่ 1 : ใส่ยาสำหรับกักโรคปลาคาร์ฟ ตามปริมาณที่เหมาะสม
วันที่ 2 : เว้นให้ปลาได้พัก
วันที่ 3 : เว้นให้ปลาได้พัก และ ถ่ายน้ำออกประมาณ 20-30%*
วันที่ 4 : ใส่ยาสำหรับกักโรคปลาคาร์ฟ ตามปริมาณที่เหมาะสม
วันที่ 5 : เว้นให้ปลาได้พัก
วันที่ 6 : เว้นให้ปลาได้พัก และ ถ่ายน้ำออกประมาณ 20-30%*
วันที่ 7 : ใส่ยาสำหรับกักโรคปลาคาร์ฟ ตามปริมาณที่เหมาะสม
*การถ่ายน้ำควรระวังเรื่องค่าคลอลีน, pH, อุณหภูมิของน้ำ ต้องใกล้เคียงกันกับบ่อเดินที่ปลาอยู่ เนื่องจากปกติยาจะออกฤทธิ์อยู่หลังจากใส่ประมาณ 24 ชั่วโมง ดังนั้นการถ่ายน้ำควรทำในช่วงที่ยาไม่ทำงานแล้ว (อาจจะเป็นวันที่ 2 หรือ 3 ก็ได้ )
หลังจากนั้นสามารถสังเกตุอาการต่อ หากยังไม่ดีขึ้น ให้ใส่ยาอีกในอีก 7 และ 14 วัน หากยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้รีบติดต่อสัตว์แพทย์เพื่อประเมินอาการ และการรักษาอีกทีครับ
วิธีการกักโรคปลาคาร์ฟ 1-4-7 ดียังไง
อย่างที่เราเคยอธิบายไป เกี่ยวกับปรสิตทั่วๆไป อย่าง ปลิงใส หรือ ปรสิตจำพวกเห็บระฆัง หรือหนอนสมอ ปรสิตพวกนี้จะมีวงจรชีวิตอยู่ในช่วง 7-9 วัน เพราะฉะวัน การใช้สูตร 1-4-7 จะได้ผลดีกับการกำจัดปรสิตพวกนี้อย่างมาก เพราะวันที่ 1 ที่เราให้ยานั้น ตัวยาจะไปกำจัดพวก ปรสิตที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ให้ตายเกือบหมด จากนั้นเมื่อถึงวันที่ 4 ที่เราให้ยาอีก จะเป็นการที่ตัวยาไปกำจัดวัยเจริญพันธุ์ที่อาจหลงเหลืออยู่ หรือ ไข่ของปรสิตที่เหลือรอดมาจากวันที่ 1-2-3 นั้นเองครับ เมื่อมาถึงตอนนี้ ปรสิตที่ติดมากับปลา น่าจะหมดไปเกือบ 98% แล้ว เพื่อให้ปลาคาร์ฟปลอดภัย และปลอดเชื้อที่สุด วันที่ 7 จะเป็นวันที่เราให้ยาเพื่อให้ทำหน้าที่ กำจัดปรสิตที่อาจหลงเหลืออยู่ให้หมดไปแบบ 100% นั่นเองครับ
ยาที่ใช้ในการกักโรคปลาคาร์ฟ มีอะไรบ้าง
1.ยาที่ใช้กำจัด แบคทีเรีย โปรโตซัวต่างๆ
ฟอร์มาลิน(Formalin)
ใช้กำจัด แบคทีเรียภายนอก และไวรัส เป็นหลักครับ
ปริมาณที่แนะนำ : 3 ml ต่อน้ำ 100 ลิตร (สำหรับแช่ปลาตลอด)
ปริมาณที่แนะนำ : 25 ml ต่อน้ำ 100 ลิตร (ไม่ควรแช่เกิน 30 นาที และแช่แค่วันละครั้ง ติดต่อกัน 3 วัน)
ข้อควรระวัง : ฟอร์มาลิน (หรือที่เรารู้จักกันไว้ใช้สำหรับฉีดศพ) ให้ระวังเรื่องการระเหย เพราะเป็นสารก่อมะเร็งที่อันตรายกับมนุษย์ และห้ามใช้คู่กับเกลือในบ่อเลี้ยงปลา เพราะจะทำให้เกิดสารพิษต่อปลาได้
กลูตาราลดีไฮด์ (Glutaraldehyde)
ใช้กำจัด แบคทีเรียภายนอก และไวรัส โดยรวมจะเหมือนกับฟอร์มาลิน แต่จะ ดีกว่า และสามารถใช้ร่วมกับเกลือได้
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับใช้กักโรคปลา : 5ml / น้ำ 1 ตัน
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับใช้รักษาปลาป่วยน้อย : 7ml / น้ำ 1 ตัน
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับใช้รักษาปลาป่วยมาก : 10 ml / น้ำ 1 ตัน
2.ยาที่ใช้ป้องกัน รักษา และฆ่าโรคจากเชื้อรา
มาลาไคท์กรีน (Malachite Green)
มีทั้งแบบนน้ำ และแบบเกล็ด ใช้กำจัดโปรโตซัว และแบคทีเลีย หรือพวกโรคจุดขาวต่างๆ
แบบเกล็ด
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับใช้กักโรคปลา/ฆ่าเชื้อโรค 1 กรัม ต่อน้ำ 1,200 ลิตร
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับใช้แช่ปลาเพื่อรักษาโรคปลาป่วย 0.1 กรัม ต่อน้ำ 1,200 ลิตร
แบบน้ำ
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับใช้กักโรคปลา/ฆ่าเชื้อโรค 3 หยด ต่อน้ำ 1 แกลลอน (ประมาณ 4.56609 ลิตร)
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับใช้รักษาปลาที่ป่วย 6 หยดต่อน้ำ 1 แกลลอน หากเป็นบ่อปลา สามารถใช้ 100 ml. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ได้
หมายเหตุ : มาลาไคท์กรีน เป็นยาที่ถูกควบคุมไม่ให้ใช้ในปลาสำหรับอุปโภค บริโภค เพราะอาจป็นสารก่อมะเร็ง
นอกจากมาลาไคท์กรีนแล้ว จะมี เมทิลีน บูล (Methylene Blue) อีกหนึ่งตัวยา แต่จะค่อนข้างหากยาก และมีราคาแพงกว่า ฟาร์มส่วนใหญ่จึงนิยมใช้ มาลาไคท์กรีนมากกว่า
3.ยาที่ใช้สำหรับกำจัดปรสิต
ปกติแล้วฟาร์มส่วนใหญ่ จะนิยมใช้อยู่ 2 ตัว คือ ดีมิลิน (Dimilin) และ ดิพเทอร์แร็กซ์ (Dipteret) โดยทั้ง 2 ชนิด มีคุณสมบัติที่ช่วยในการกำจัดปรสิตต่างๆ ที่เราเห็นจากภายนอกเช่น หนอนสมอ เห็บปลา หรือ ปลิงใส
พดีมิลิน(Dimilin)
ดีมิลิน มีคุณสมบัติในการไปยับยั้งการสร้างเปลือก ของสัตว์ที่มีเปลือก เช่น เห็บ หนอนสมอ และปรสิตต่างๆ ด้วยคุณสมบัตินี้ จึงมีผลทำให้ปรสิตประเภท หนอนสมอ เห็บปลา ที่ต้องอาศัยการลอกคราบในการเจริญเติบโต ไม่สามารถสร้างเปลือก และเจริญเติบโตได้ ในที่สุดปรสิตเหล่านี้ก็จะค่อยๆตายลง และหมดไปจากบ่อ
ปริมาณที่แนะนำ : ดีมิลิน 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ตัน ( 1 ตัน = 1,000 ลิตร)
หมายเหตุ : หากเป็นการใช้เมื่อพบปรสิต ควรใส่ยาซ้ำ ทุกๆ 1-4-7 ตามสูตรเพื่อจำกัด ตัวอ่อน และไข่ของปรสิตให้หมดไป และหากใช้เพื่อการป้องกัน เราสามารถใช้ยาซ้ำทุถๆ 30-60 วันเพื่อป้องกัน ปรสิต เกิดในบ่อ
พราซี่ควอนเทล (Praziquantel)
เป็นยารักษาปลาคาร์ฟที่ใช้กำจัดปรสิต เช่น ปลิงใส ได้ดีถึง 98% แต่เจ้ายาชนิดนี้ต้องละลายกับ แอลกอฮอล์ก่อนใส่ลงในบ่อปลาคาร์ฟครับ (แนะนำแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 95%) ซึ่งเจ้าตัวนี้จะมีราคาค่อนข้างสูง และมีการปลอมตัวยานี้ค่อนข้างมาก สำหรับบ่อปลา หรือ ฟาร์มที่มีปัญหาหนักๆ เรื่องปลิงใส จะแนะนำตัวยานี้ครับ
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับกักโรคปลา พราซี่ควอนเทล 2 กรัม ต่อน้ำ 1 ตัน ( 1 ตัน = 1,000 ลิตร)
ปริมาณที่แนะนำ : สำหรับรักษาปลาที่ป่วย พราซี่ควอนเทล 5 กรัม ต่อน้ำ 1 ตัน ( 1 ตัน = 1,000 ลิตร)
หมายเหตุ : ในการละลาย พราซี่ควอนเทล 1 กรัม แนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์ เข้มข้น 95% ปริมาณ 10-15 มิลลิลิตร ซึ่งจะได้สารละลายสีขาวขุ่น (อาจมีผลึกพราซี่ลอยอยู่) ถึงสามารถนำไปใส่ในบ่อปลาได้
ดิพเทอร์แร็กซ์ (Dipteret)
คุณสมบัติของเจ้ายาตัวนี้ เหมือนกับดีมิลินเลยครับ เพียงแต่ ราคาถูกกว่า ปริมาณการใช้น้อยกว่า แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้ตัว ดิพเทอร์แร็กซ์ เป็นอย่างมาก เพราะใช้ในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้กระดูกสันหลังของปลาคาร์ฟมีปัญหาได้ ส่งผลทำให้ตัวปลาคาร์ฟงอนั่นเองครับ แต่ถามว่าทำไมถึงยังนิยมใช้ เนื่องจากบางฟาร์มอาจจะเจอว่า ดีมิลิน ไม่สามารถฆ่าปลิงใสได้ 100% แต่กลับกัน เจ้าดิพเทอร์แร็กซ์ ทำได้ดีกว่า จึงเป็นเหตุผลที่ยังมีคนนิยมใช้ครับ
ข้อควรระวังหลักๆ ในการให้ยากับปลาช่วงกักโรค
ปลาคาร์ฟเป็นปลาที่ขึ้ตกใจครับกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนั้นการให้ยาในบ่อ จึงควรกะปริมาณ และวิธีการให้ยาครับ ใจความสำคัญคือ หลังจากผสมยาในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว ควรค่อยๆใส่ ในปริมาณน้อยๆ ไม่ควรใส่ทีเดียวทั้งหมด หากในกรณีที่คุณไม่มีเวลามาค่อยๆทยอยให้ อาจจะใช้วิธีการแบ่งยาเป็น ส่วนๆ แล้วค่อยๆหยอดให้ครับ ให้นึกถึงตอนที่เราต้องให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลก็ได้ครับค่อยๆให้ยาที่เราเตรียมไว้หยดไปผสมกับน้ำในบ่อกักโรคปลาครับ และใช่ครับคุณอาจจะใช้ตัวปรับหยดให้น้ำเกลือมาประยุกต์ก็ได้เช่นกัน หากไม่มีเวลาจริงๆ แต่ควรเช็คก่อนว่าอุปกรณ์ที่จะใช้นั้น มีปฏิกิริยากับยาบางชนิดหรือเปล่า เช่น พราซี่ควอนเทล ที่เราต้องละลายในแอลกอฮอล์เข้มข้นครับ
อุปกรณ์ที่ควรเตรียมสำหรับการกักโรคปลา มีอะไรบ้าง
โดยทั่วไปการกักโรคปลา ก็คือการแยกปลาออกมาจากบ่อหลัก มาอยู่ในบ่อที่เราควบคุมได้ ดังนั้นอุปกรณ์ การควบคุมต่างๆ แทบจะไม่ต่างกับบ่อปลาหลักที่เราใช้เลี้ยงปลาเลยครับ แต่จุดที่ควรใส่ใจสำหรับนักเลี้ยงมือใหม่ห้ามลืมคือ ปลาที่ป่วยมีความเครียดสะสมเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับตอนหากเราเผลอให้ยาในปริมาณที่มากเกินไป หรือ ทำให้ค่าต่างๆ ในน้ำเปลี่ยนไป ยิ่งส่งผลให้ปลาเครียดจนอาจทำให้ปลากระโดดออกจากบ่อ หรือว่ายชนบ่อได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจะเกิดขึ้นเราจึงแนะนำว่า บ่อที่ใช้สำหรับกักโรคปลาคาร์ฟ ควรเป็นบ่อผ้าใบ,บ่อยาง (ปัจจุบันที่นิยมใช้กัน น่าจะมีขนาด ประมาณ 1.25 – 1.50 เมตร) มากกว่าใส่ในกะละมัง แต่หากไม่ได้้มีพื้นที่บ่อที่แล้วละก็ ควรใส่ใจในการเลือกภาชนะที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และเหมาะกับจำนวนปลา เพื่อป้องกันความเครียดของปลา และไม่ควรใหญ่เกินไปเนื่องจากอาจะทำให้เราเปลืองปริมาณยาที่ต้องใส่ในบ่อกักนั้นเองครับ

เพิ่มเติมส่วนของตัวกรองที่แนะนำว่าควรมีในบ่อกักโรคปลาครับ เนื่องจากในช่วงที่เราให้ยา ปลาอาจจะมีการคลายเมือกออกมา อาจะทำให้คุณภาพของน้ำต่ำลงได้ แต่หากไม่มีตัวกรองน้ำ ก็จะนิยมใช้การถ่ายน้ำได้ครับ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า ทุกๆการถ่ายน้ำ มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก หากเป็นมือใหม่แล้วละก็ แนะนำว่าควรมีกรองน้ำในบ่อกักโรคจะส่งผลดีมากกว่าครับ
ช่วงกักโรคปลา ให้อาหารได้ไหม?
ไม่ควรครับ สมัยก่อนเคยมีความเชื่อว่าไม่ควรให้อาหารช่วงกักโรคเพราะยาจะผสมกับอาหารเข้าไปข้างในระบบย่อยของปลา นั่นไม่ถูกครับเหตุผลจริงๆ แล้วในระหว่างกักโรคเราต้องมีการให้ยาในบ่อกักโรค ซึ่งเจ้ายาพวกนี้จะไปทำลายเชื้อโรคต่างๆ นั่นรวมถึงแบคทีเรียดีต่างๆ ที่อยู่ในน้ำด้วย ลองนึกภาพว่าถ้าคุณให้อาหารปลา ปลามีการขับของเสียออกมา แต่ไม่มีแบคทีเรียดีต่างๆ ที่ช่วยย่อยสลายของเสียเหล่านั้นกลายเป็นการหมักหมมของเสีย ส่งผลให้น้ำเสียได้ในที่สุดครับ ดังนั้นให้ผ่านช่วงกักปลาคาร์ฟก่อนและค่อยให้อาการดีกว่าครับ
Fun Fact : ปลาคาร์ฟสามารถอยู่ได้โดยไม่ได้กินอาหารได้ 14-20 วันครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิของอากาศ และ น้ำด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นในช่วงกักตัว เราสามารถงดได้ครับ
หลังกักตัวครบตามสูตร 1-4-7 แล้ว สามารถรวมปลาได้เลยหรือเปล่า?
อีกจัดหนึ่งที่มือใหม่มักพลาด เพราะคิดว่า ปลาที่ได้มาใหม่นั้นกักปลาคาร์ฟตามสูตร 1-4-7 แล้วคือ ความเข้ากันได้ของปลาใหม่ และ ปลาเก่าครับ บางท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า กักโรคผ่าน และ กักโรคไม่ผ่าน นั้นเองครับ
เมื่อปลาคาร์ฟได้รับการกักตัวครบ วันที่ 7 ที่ได้รับยาแล้ว และมั่นใจว่าปลาตัวนั้นไม่มีเชื้อโรค ปรสิต หรือ ไม่ป่วยแล้ว ห้ามลืมขั้นตอนการทดลองรวมปลาเด็ดขาด การทดลองรวมปลา จะทำด้วยกัน 2 ทาง คือ
- การนำน้ำจากบ่อปลาเก่ามาค่อยๆ ผสมกับ บ่อที่เรากักโรคปลาไว้ และสังเกตุปลาต่ออีก 7 วัน เพื่อให้ปลาตัวใหม่ได้ชินกับน้ำในบ่อเก่าของเรา ก่อนการรวมบ่อในขั้นตอนสุดท้ายครับ หากปลาเริ่มชินกับน้ำที่เราผสมจากบ่อเก่าแล้ว ปลาว่ายน้ำปกติ ไม่มีอาการซึม แสดงว่า ปลาใหม่ที่เราซื้อมา คุ้นชิน กับน้ำ และเชื้อต่างๆที่อยู่ในบ่อเก่าของเราได้แล้วครับ
- ควบคู่ไปกับข้อ 1 หลังจากการผสมแล้ว สัก 3-4 วัน หากปลาตัวใหม่ ไม่มีอาการอะไร ให้นำปลาจากบ่อเก่าสัก 1-2 ตัว มารวมอยู่ในบ่อกักโรคที่เราได้นำน้ำจากบ่อเก่ามาค่อยๆ ผสมแล้ว และสังเกตุอาการต่ออีก 3-4 วันเช่นกัน (สาเหตุที่ให้สังเกตุอาการ 3-4 วันเนื่องจากเป็นช่วงที่ปลาจะแสดงอาการชัดเจน หากมีเชื้อโรคอยู่)
หากทดลองทั้งข้อ 1,2 แล้ว ปลาทั้งคู่ปกติแล้ว จึงจะสามารถนำปลาที่เรากักไว้รวมกับบ่อปลาเดิมของเราได้ครับ แต่หลังจากรวมแล้ว ยังคงต้องสังเกตุอาการปลาทั้งบ่ออีกเช่นกันครับ หากตอนที่ทดลองรวมปลาแล้ว ท้งคู่ปกติ แต่พอปล่อยลงบ่อแล้ว ปลาเกิดมีอาการป่วย จะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาแทนครับ ซึ่งจะมีแนะนำในบทความถัดไปครับ
สำหรับลูกค้าที่ไปโค่ยฟาร์ม เรายินดีให้คำแนะนำในการกักโรคปลา รวมบริการช่วยเหลือลูกค้าทุกคนครับ มั่นใจได้เลยว่า ปลาที่ซื้อจากไปโค่ยฟาร์มไป นอกจากสวยสมราคาแล้ว จะปลอดภัยและเป็นมิตรกับปลาในบ่อตัวอื่นๆ ของคุณเช่นกันครับ นอกจากวิธีการกักปลาแบบ 1-4-7 แล้ว จริงๆยังมีอีกหลายวิธีที่แต่ละฟาร์มนิยมใช้ครับ อย่างเช่น สูตรการใช้เกลือ 1-3-5 ซึ่งเดียวไปโค่ย ฟาร์มจะสรุปวิธีให้กับเพื่อนๆ ได้เข้าใจกันครับ