ปลาคราฟก็เหมือนสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นๆครับ คือมีอาการเจ็บป่วยที่เกิดถึง ทั้งจากภูมิตามธรรมชาติของตัวปลาที่ลดลง หรือจากปัจจัยรอบตัวเช่น คุณภาพของน้ำ ค่า pH หรือแม้แต่ อาหารที่กิน ล้วนแต่สามารถส่งผลให้ปลาคราฟสุดรักของคุณป่วยได้ และด้วยความที่เจ้าปลาคราฟที่คุณเลี้ยงในบ่อเดียวกันเนีย หากมีตัวใดตัวหนึ่งป่วยขึ้นมา อาจส่งผลให้ปลาคราฟตัวอื่นๆ ในบ่อป่วยตามกันได้ด้วย ด้วยเหตุนี้เองคุณควรสังเกตุปลาคราฟของคุณอยู่เป็นประจำเพื่อดูว่าปลาคราฟมีอาการป่วย หรือ เริ่มออกอาการหรือเปล่าควรแยกปลาออกมาเพื่อทำการรักษา หรือ สังเกตุอาการอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะปล่อยให้ไปรวมบ่อกับตัวอื่นๆ นะครับ
วันนี้ไป่โค่ยฟาร์ม เอาบทความวิธีสังเกตุปลาคราฟว่าตัวดังกล่าว มีอาการป่วย หรือ แนวโน้มที่จะป่วยหรือเปล่ามาให้เพื่อนๆ ศึกษากันเบื้องต้นก่อน อย่างไรก็ดี ปลาคราฟแต่ละสายพันธุ์อาจมีลักษณะอาการที่บ่งบอกได้มากน้อยต่างกัน แต่บทความนี้จะบอกภาพรวมกว้างๆว่า ปลาคราฟสุดรักของคุณผิดปกติหรือเปล่า มาเริ่มกันเลยครับ
สาเหตุของอาการป่วยของปลาคราฟ
แน่นอนว่าสาเหตุหลักๆของอาการป่วยในปลาคราฟ เป็นไปได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น เชื่อไวรัส ปรสิต แบคทีเรีย หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมของบ่อปลา ซึ่งอาการป่วยเหล่านี้อาจลุกลามกลายเป็นโรคติดต่อไปติดต่อตัวอื่น ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงให้ลามไปติดทั่วทั้งบ่อก็เป็นไปได้ ส่วนโรคที่ไม่ใช่โรคติดต่อของปลาคราฟนั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากอาหารและสารอาหารของปลา หรือสภาพแวดล้อมที่ปลาอยู่ไม่เหมาะสมก็เป็นได้ครับ
ปลาคราฟเองก็เหมือนเช่นปลาอื่นๆทั่วไป ซึ่งเป็นสัตว์เลือดเย็น ดังนั้นระบบการเผาผลาญ และ ภูมิคุ้มกันของร่างกายนั้น จะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำที่พวกมันอยู่ อีกสาเหตุนึงที่อาจจะส่งผลต่อการป่วยได้คือ ความเครียดของตัวปลา ที่มาจากความหนาแน่ของจำนวนปลา กับขนาดของบ่อปลาที่มีไม่สัมพันธุ์ ส่งผลให้ปลาไม่มีพื้นที่ในการว่ายน้ำที่เพียงพอ (ท่านผู้เลี้ยงคงเคยเจอปัญหาปลาโดดบ่อออกมาตายใช่ไหมละครับ นั่นอาจะเป็นสัญญาณบอกว่าปลาตัวนั้นเครียดแล้วหละ)
ดูยังไงว่าปลาคราฟป่วยจริง หรือว่าปลาคราฟแค่เครียด
ปกติแล้วเมื่อปลาคราฟมีความเครียดมาก ปลาจะเริ่มผลิตเมือกจำนวนมาก จิงอยู่ที่เมือกของตัวปลาเป็นกลไกในการป้องกันตัวเอง แต่บางทีเจ้าของอาจจะไม่ทันได้สังเกตุและมองข้ามไป ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงในอนาคตได้ครับ
อีกจุดหนึ่งที่สามารถบอกว่าได้ว่าปลาของคุณไม่สบายคือ คุณจะเห็นพวกมันกระโดดไปมาบนผิวน้ำ แน่นอนครับว่า พวกมันไม่ได้ทำเพราะมันมีความสุขแน่นอน แต่เป็นกลไกตามธรรมชาติที่พวกมันพยายามทำเพื่อให้ตัวเองได้รับออกซิเจนมากขึ้น และบางกรณีเหงือกของพวกมันอาจจะมีปัญหาก็ได้ครับ
ปลาคราฟจะกระโดดมากขึ้น เมื่อในบ่อปลามีระดับ TDS (Total Dissolved Solids) หรือก็คือ ปริมาณของแข็ง หรือสาอนินทรีย์ที่ละลายอยู่ในน้ำมากไป เช่นพวก โลหะหนัก, ทองแดง หรือ คอลลีน จนทำให้ปลาคราฟรู้สึกระคายเคือง จนอาจทำให้เหงื่อไหม้ หรือหายใจลำบาก
รู้จักกับประเภทของโรคปลาคราฟ
ปกติเราจะแบ่งโรคของปลาคราฟออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ(ที่สามารถติดต่อกันได้) และโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ลองมาทำควรรู้จักกันมากขึ้นครับ
โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ
โรคประเภทที่สำคัญมาก และควรใส่ใจดูแล และสังเกตุปลาคราฟของคุณให้ดี เพราะหากมีปลาที่ป่วยด้วยโรคประเภทนี้ อาจจะลุกลายเป็นโรคติดต่อไปถึงตัวอื่นๆได้ โดยกลุ่มโรคที่อยู่ในประเภทนี้มีดังนี้
การติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Infections)
ลักษณะการติดเชื้อ | อาการของโรค | วิธีการรักษา |
การติดเชื้อแบคทีเรีย | ปลาคราฟจะมีอาการตัวบวม ตาบวมแดง มีตุ่มหรือแผลพุพอง บางตัวอาจะมีแผลเปื่อยตามตัว และมีก้อนเลือดหรือผื่นแดงขึ้นตามลำตัว รวมถึงเหงือกของปลาอาจมีภาวะอักเสบ ทำให้ปลาต้องลอยตัวขึ้นมาฮุบอากาศบริเวณผิวน้ำตลอดเวลา เนื่องจาก อาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ อาการที่พบบ่อยได้แก่ เกล็ดตั้ง เกล็ดพอง | การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าหากตัวโรคมีความรุนแรงมาก อาจจะต้องให้การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ |

การติดเชื้อไวรัส (Viral Infections)
ลักษณะการติดเชื้อ | อาการของโรค | วิธีการรักษา |
การติดเชื้อไวรัส | โดยทั่วไปลักษณะอาการจะคล้ายกับการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ส่วนที่อันตรายกว่าคือ การติดเชื้อประเภทนี้ อาจจะไม่แสดงอาการในช่วงต้น ทำให้กว่าจะรู้ตัวว่าปลาคราฟป่วย ก็แพร่กระจายเชื้อไวรัสไปทั่วบ่อแล้วก็เป็นได้ เช่น โรคอีสุกอีใสปลาคราฟ | การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าหากตัวโรคมีความรุนแรงมาก อาจจะต้องให้การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ |
การติดเชื้อรา (Fungal Infections)
ลักษณะการติดเชื้อ | อาการของโรค | วิธีการรักษา |
การติดเชื้อรา | มักจะส่งผลที่ชั้นเยื่อบุผิว ทำให้เห็นเมือกลอกออกมา คล้ายปลากำลังลอกคราบ ท้ายสุดตัวจะลายแดงลามไปที่ครีบอีกด้วย | การรักษาใช้การแช่เกลืออ่อน ๆ หรือการอาบน้ำด้วยเกลืออุ่น ๆ แต่ก็มีเชื้อราบางชนิดที่ไม่สามารถรักษาได้ |
การติดเชื้อจากปรสิตและโปรโทซัว (Parasitic Infections)
ลักษณะการติดเชื้อ | อาการของโรค | วิธีการรักษา |
การติดเชื้อจากปรสิตและโปรโทซัว | ต้องอาศัยการสังเกตว่ามีสิ่งแปลกปลอมใดเกาะอยู่ตามตัวปลาหรือไม่ ผิวหนังแดงหรือลอกออก เช่น โรคตกเลือด, โรคจุดขาว | การรักษาถ้าหากเป็นพวกหนอนหรือปลิงต้องใช้คีมหรือผ้าสะอาดคีบออก แต่หากเป็นเชื้อบางตัวก็อาจต้องแยกปลาไปใส่อ่างที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อในปริมาณและเวลาในการแช่ที่พอเหมาะ มิฉะนั้นยาฆ่าเชื้อก็อาจจะฆ่าปลาได้เช่นกัน |
โรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
อาจจะเป็นจากสาเหตุได้ทั้งจากน้ำ อาหาร อากาศ และปัจจัยทางพันธุกรรม จะทำให้ปลามีภาวะท้องผูกหรืออาหารไม่ย่อย ตาโปน โรคถุงลม หรือเนื้องอก หากเป็นอาการทางระบบย่อยอาหารหรือตาโปน วิธีการรักษาคือการเปลี่ยนอาหารหรือลดอาหารปลาลง ถ้าเป็นโรคถุงลม ปลาจะมีอาการว่ายน้ำผิดปกติ เทไปข้างใดข้างหนึ่ง ส่วนมากมักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ต้องรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะ รวมถึงปรับปรุงคุณภาพน้ำ แต่ถ้าเป็นเนื้องอกยังไม่สามารถรักษาได้
คุณภาพของน้ำคือปัจจัยหลักในการเสริมความแข็งแรง ปราศจากโรค
ทุกอย่างเริ่มต้นที่น้ำในบ่อปลาของคุณเลยครับ การรักษาคุณภาพของน้ำให้เหมาะสม อุณหภูมิ ค่า pH และออกซิเจนละลายน้ำ หรือการมีอุปกรณ์ระบบกรองน้ำให้อยู่ในสภาพที่ดี เป็นคีย์หลักในการสร้างภูมิให้ปลาคราฟให้มีสุขภาพดีปราศจากโรคครับ และที่ห้ามพลาดคือ ปริมาณปลาคราฟในบ่อต้องไม่เยอะ หรือแน่นจนเกินไป เพื่อให้ปลาคราฟที่เรารักอยู่กับเราไปได้นานๆครับ